รวมเรื่องสั้นท่าเรือสัตตบงกชในม่านหมอก - รวมเรื่องสั้นท่าเรือสัตตบงกชในม่านหมอก นิยาย รวมเรื่องสั้นท่าเรือสัตตบงกชในม่านหมอก : Dek-D.com - Writer

    รวมเรื่องสั้นท่าเรือสัตตบงกชในม่านหมอก

    เรื่องสั้นเจียงเฉิง&ซีเฉิน (จากกิจกรรม #KuanChengWeek) ของเราค่ะ

    ผู้เข้าชมรวม

    161

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    161

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    3
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  22 มิ.ย. 66 / 23:30 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ในโลกใบนี้ช่างมีแต่เรื่องราวที่ตลกร้ายสำหรับพวกเขาทั้งสองคน

    คนที่รักกันแต่ไม่อาจได้ครองคู่หรืออยู่เคียงข้างกันตามที่ใจของพวกเขานั้นปรารถนา

    และแล้วโชคชะตาที่ทั้งสองคนไม่สามารถปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงได้ก็เกิดขึ้น

    ทั้งคู่ไม่อาจทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจที่มันเรียกหากันและกัน

    ไม่ว่าการตัดสินใจครั้งนี้ ของพวกเขาจะไปลงเอยที่ตรงไหน

    แต่พวกเขาก็คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาแล้วในตอนนั้น

    แต่...มันจะดีกับคนทั้งสองจริง ๆ น่ะหรือ

    การเลือกครั้งนี้จะนำมาซึ่งความสุขหรือความทุกข์ไปตลอดชีวิตของพวกเขากันแน่

     

    "เจียงเฉิง!"

    เจียงเฉิงละจากหนังสือที่ตนกำลังอ่านอยู่ตรงหน้าก่อนจะมองไปตามที่มาของเสียงที่ไม่ต้องบอกเขาก็พอจะเดาได้ว่าใครที่ส่งเสียงดังและกำลังเรียกหาเขาอยู่ในตอนนี้ คนที่เสียงมักจะมาก่อนตัวอยู่เสมอ ในจวนนี้จะเป็นใครได้อีกเล่าถ้าไม่ใช่ 'เว่ยอู๋เซียน' ผู้ที่ทำเรื่องวุ่นวายในท่าเรือแห่งนี้ได้ทุกวี่ทุกวันอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย

    เจียงเฉิงมองไปทางประตูที่ได้ยินเสียง รอจนเห็นร่างบางของคนที่เรียกหาตนจึงปิดและเก็บหนังสือกลับเข้าที่ชั้นอย่างสงบ เพราะเขารู้ดีว่าเรื่องที่เว่ยอู๋เซียนจะพูดคุยด้วยนั้น จะต้องเป็นเรื่องที่ใช้เวลาในการพูดคุยกันอย่างยาวนานเกินกว่าจะถือหนังสือรอได้ไหวเป็นแน่

    "เจียงเฉิงเจ้าตอบข้ามาเดี๋ยวนี้เลยนะ! ว่าเหตุผลอันใดกันทำไมเจ้าถึงเลือกที่จะทำตามใจตนเองเช่นนี้ โดยที่ไม่ได้มาปรึกษาข้ากับศิษย์พี่ของเจ้า!"

    ใช่เรื่องนี้จริง ๆ ด้วยสินะ ข้าล่ะก็อุส่าห์กำชับนักกำชับหนาว่าอย่าได้แพร่งพรายบอกเรื่องนี้กับพวกศิษย์พี่แต่ก็ยังปากรั่วกันจนได้ แม่สื่อผู้นั้นเห็นทีคงจะใช้การไม่ได้เสียแล้วกระมั้ง แต่ก็ใช่ว่าข้าจะไปตัดสินใจทำอะไรได้เสียเมื่อไหร่ 

    "เฮ้อ..." เจียงเฉิงถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะพูดต่อ

    "เว่ยอู๋เซียนข้าเพียงแค่ดูตัวตามคำสั่งของท่านแม่ที่มีให้กับเพื่อนเก่าเมื่อครั้งเยาว์วัยเท่านั้น ยังไม่ได้มีการตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่งเสียหน่อย ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการตัดสินใจของข้า" ถึงแม้เจียงเฉิงจะพูดออกมาด้วยท่าทีที่สบาย ๆ เหมือนไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรกับเรื่องนี้ แต่ในใจของเขากลับไม่ใช่อย่างงั้นเลยแม้แต่น้อย มันทั้งสับสนและว้าวุ่นใจอย่างไม่อาจปิดบังได้ แต่เขาก็ไม่อาจเปิดเผยมันออกมาให้ใครต่อใครได้เห็นได้เช่นเดียวกัน 

    "งั้นรึ...ไม่สิ! เจ้าคงยังไม่รู้เป็นแน่! ว่าแม่สื่อของแม่นางผู้นั้นเอาเจ้าไปพูดว่าอย่างไรบ้าง"

    เว่ยอู๋เซียนทำหน้าผ่อนคลายได้ไม่นานนักก็ต้องกลับมาตีหน้ายุ่งเหยิงคิ้วแทบจะชนกันอีกครั้ง หลังจากที่นึกอะไรขึ้นมาได้และดูเหมือนครั้งนี้จะหนักหนากว่าเดิมเสียด้วย

    "ก็ถูกอย่างที่เจ้าว่า ข้าไม่รู้ว่าแม่สื่อผู้นั้นพูดอันใดเกี่ยวกับตัวข้าออกไปบ้าง ถ้าเจ้าอยากจะบอกอะไรกับข้าก็พูดมันออกมาเถอะ ข้ารอฟังอยู่"

    ถึงเว่ยอู๋เซียนจะโกรธแม่สื่อของแม่นางผู้นั้นเป็นฝืนเป็นไฟถึงเพียงใด แต่เขาก็อดที่จะแปลกใจกับเจียงเฉิงที่ทำเพียงตอบเขาออกมาด้วยเสียงราบเรียบให้กันมาเท่านั้น และเพราะเจียงเฉิงเป็นเช่นนี้มันจึงไปกระตุ้นให้เว่ยอู๋เซียนยิ่งรู้สึกโมโหขึ้นไปอีก แต่เป็นการโมโหในตัวของเจียงเฉิงซะมากกว่าที่ทำตัวไม่ทุกข์ไม่ร้อนได้ถึงเพียงนี้

    "งั้นข้าจะบอกให้ว่าแม่สื่อของแม่นางพูดถึงเจ้าว่าเช่นไรบ้าง! เจ้าจะได้เลิกทำสีหน้าราบเรียบราวกับคนที่มีเพียงร่างกายแต่ไร้ซึ่งหัวใจและจิตวิญญาณเช่นนี้เสียทีเจียงเฉิง! ทั้ง ๆ ที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนเจ้าจะต้องโมโหเป็นฟืนเป็นไฟไปแล้วแท้ ๆ แต่นี่กลับนิ่งสงบยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ แต่ในทางกลับกัน มันกลับเป็นตัวของข้าเสียเองที่โมโหแทนเจ้าและในตอนนี้ก็ยังโมโหเจ้าด้วย! เจ้าเป็นอะไรกันแน่เจียงเฉิง ข้าไม่ชินกับการที่เจ้าเป็นเช่นนี้เลยจริง ๆ เจ้าที่ขี้โมโหคนเดิมหายไปไหนเสียล่ะ คนร้ายกาจเช่นนั้นหายไปไหนแล้ว!"

    "เว่ยอู๋เซียนเจ้านี่เพ้อเจ้อเสียจริง ข้าก็คือข้า ไม่ใช่ใครอื่นหรือหายไปไหน บอกมาเสียทีว่าแม่สื่อผู้นั้นพูดเกี่ยวกับตัวข้าว่าเช่นไร ถ้าเจ้ายังชักช้าเยี่ยงนี้ข้าจะเลิกสนใจฟังสิ่งที่เจ้าจะพูด"

    "แม่สื่อของนางบอกว่า อีกไม่นานเจ้าจะไปสู่ขอแม่นางเหม่ยหลี่มาเป็นฟูเหรินประจำตระกูลเจียง! ช่างกล้าใช่ไหมเล่า ทั้ง ๆ ที่เจ้ายังไม่ตกลงปลงใจกับแม่นางผู้นั้นเลยแท้ ๆ แต่แม่สื่อผู้นั้นกลับกล้าพูดจาเสียใหญ่โตเยี่ยงนี้ไปทั่วตลาดได้อย่างไรกัน ช่างหน้าไม่อายเสียจริง! ถ้าข้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ข้าไม่ปล่อยนางไปเฉย ๆ แน่" 

    ด้วยความโมโหที่มีมาตลอดทั้งวันเว่ยอู๋เซียนที่กำลังจะออกไปจากห้องก็ต้องหยุดฝีเท้าของตัวเองไว้แทบจะทันทีเมื่อได้ยินเสียงของเจียงเฉิง

    "ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ไม่แน่ อนาคตนั้นเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน..." เจียงเฉิงเว้นระยะเล็กน้อยก่อนจะตอบเว่ยอู๋เซียนต่อ

    "บางทีข้าอาจจะต้องตกลงปลงใจกับแม่นางผู้นั้นก็เป็นได้ไม่ใช่รึเว่ยอู๋เซียน เพราะแม่นางผู้นั้นก็มีคุณสมบัติเพียบพร้อมอย่างที่ท่านแม่ต้องการมากกว่าแม่นางคนไหน ๆ ที่ข้าเคยได้พบเจอ และยังเป็นถึงบุตรสาวเพียงคนเดียวของสหายรักของท่านแม่อีกด้วย ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ข้าจะต้องปฏิเสธนาง"

    "จะเจ้า...เจ้า!"

    เว่ยอู๋เซียนรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไปชั่วขณะได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ อยากจะต่อว่าเจียงเฉิงที่อยู่ตรงหน้าแต่ก็พูดไม่ออก เขาพูดขนาดนี้แต่เจียงเฉิงกลับตอบด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบกลับมาอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน ถ้าเป็นทุกทีเจียงเฉิงผู้นี้มีหรือจะไม่ร้องโวยวายเสียใหญ่โตพร้อมกับขี่กระบี่ไปหาแม่สื่อผู้นั้น แล้วจัดการใช้แซ่จื่อเตียนฟาดไปที่แม่สื่อผู้นั้น ด้วยข้อหาพูดจาพล่อย ๆ

    แต่มันผิดคาด ครั้งนี้เจียงเฉิงกลับไม่เป็นอย่างที่เขาคิด ต้องมีอะไรผิดปกติไปจากเดิมเป็นแน่ มันน่าจะผิดปกติตั้งแต่ที่เจียงเฉิงตอบเขาด้วยเสียงราบเรียบเหมือนดั่งหลานจ้านไม่มีผิด นี่มัน...เกิดอะไรขึ้นกับน้องชายของเขากัน!?

    "เจียงเฉิง เจ้าเป็นอันใดกันแน่! เหตุใดถึงได้ราวกับไม่มีชีวิตและจิตวิญญาณเช่นนี้เล่า!!"

    เว่ยอู๋เซียนเดินมาใกล้เจียงเฉิงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงตัวแล้วจึงจัดการเขย่าเจียงเฉิงสองสามทีเพื่อเรียกสติของเจียงเฉิงให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว

    "เปล่า ข้าไม่ได้เป็นอะไร เจ้าเลิกเขย่าข้าเสียทีเว่ยอู๋เซียน เจ้ามีเรื่องจะพูดคุยกับข้าเพียงเท่านี้ใช่หรือไม่"

    เจียงเฉิงตอบกลับและถามคนตรงหน้าต่อพร้อมกับแกะมือทั้งสองข้างของเว่ยอู๋เซียนออกจากแขนทั้งสองข้างของตน

    "อะ...อือ ก็ใช่แหละ ที่ข้ามาก็มีเรื่องจะบอกเจ้าเพียงเท่านี้"

    "ถ้าเช่นนั้นก็ดี ข้าจะได้อ่านหนังสือต่อ ข้ายังมีงานอีกมากมายที่ต้องเรียนรู้ ถ้าเจ้าไม่มีอะไรแล้วก็ออกไปจากห้องหนังสือนี้เสียเถอะ"

    เพราะยังมึน ๆ งง ๆ กับคนน้องที่นิสัยเปลี่ยนไปราวฟ้าผ่า ทำให้เว่ยอู๋เซียนตั้งรับกับเหตุการณ์ไม่ทัน จึงทำได้เพียงยอมรับก่อนจะเดินกลับออกไปอย่างใจลอย

    "..."

    เจียงเฉิงลอบมองเว่ยอู๋เซียนจนลับสายตา ก่อนจะเลิกแกล้งทำเป็นหาหนังสือมาอ่านแล้วเลือกที่จะเดินไปยังท่าเรือสัตตบงกชฝั่งตรงข้ามแทน

     

    ยามอิ่ว (17:00-18:59) เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เจียงเฉิงรู้สึกผ่อนคลายมากที่สุด เมื่อได้ทอดสายตามองไปยังทะเลสาบที่อยู่เบื้องหน้า และยิ่งรู้สึกดีเข้าไปใหญ่เมื่อยังคงมีดอกบัวมากมายที่กำลังเบ่งบานอยู่ในยามนี้

    พรึบ

    "...!?"

    เจียงเฉิงสะดุ้งเล็กน้อยเพราะไม่คาดคิดว่าตนเองจะรู้สึกผ่อนคลายเสียจนไม่ทันได้ระวังตัวเองถึงขนาดที่ไม่รู้ว่ามีคนเดินมาถึงตัวเพียงนี้ ถึงแม้ตอนนี้จะอยู่ที่บ้านของตนเองก็เถอะ แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากเสื้อคลุมที่ถูกส่งผ่านมาเพียงเท่านี้ เขาก็รู้แล้วว่าผู้ใดกันที่เข้ามาถึงตัวเขาได้อย่างง่ายดายโดยที่เขาไม่ทันได้รู้สึกตัว

    ชั่วขณะหนึ่งเจียงเฉิงเผลอกระชับเสื้อคลุมสีขาวบริสุทธิ์จนไม่อาจที่จะปล่อยมันกลับไปให้กับเจ้าของเก่าได้ แต่ความรู้สึกกับสวนทางกับจิตใต้สำนึกของเขาในตอนนี้ เขาจึงเลือกที่จะหันมาหาเจ้าของเสื้อ 'หลานซีเฉิน' ประมุขหลานแห่งกูซูที่ยืนอยู่ด้านหลังเพื่อคืนเสื้อคลุมให้กับคนตรงหน้า

    "..."

    หลานซีเฉินผู้ที่มีใบหน้าและรอยยิ้มดุจดั่งแสงของดวงตะวันยามอรุณรุ่ง บัดนี้รอยยิ้มนั้นกลับถูกแทนที่ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยอย่างไม่ปิดบัง แต่ก็เพียงไม่นานรอยยิ้มดุจแสงตะวันยามอรุณรุ่งก็กลับมาประดับบนใบหน้างามอีกครั้ง

    "คารวะประมุขหลาน"

    "เจียงเฉิงเจ้าไม่หนาวรึ เสื้อของข้าจะทำให้เจ้าคายหนาวลงได้ รับไปเสียเถอะ อย่าได้เกรงใจกันเช่นนี้เลย"

    "ข้าต้องขอขอบคุณในน้ำใจที่ท่านมีให้กับข้า แต่...ที่นี่คือบ้านของข้าอากาศเพียงเท่านี้ทำอะไรข้ามิได้หรอก"

    "เป็นเช่นนั้นเองงั้นรึ"

    หลานซีเฉินไม่ต่อความยาวสาวความยืดต่อ เขารับเสื้อมาใส่อย่างรู้สึกผิดหวังและปวดใจอยู่ไม่น้อย ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าเขาตอนนี้จะเปลี่ยนไปอย่างที่คุณชายเว่ยพูดจริง ๆ 

    "ข้ามีเรื่องอยากจะมาถามไถ่เจ้าเสียหน่อย เจ้า...สะดวกหรือไม่"

    "...ท่านมีเรื่องที่จะพูดคุยกับข้า? ไม่ใช่ว่า มาเพื่อพูดคุยกับเว่ยอู๋เซียนหรอกหรือ"

    "ข้ามีธุระกับเจ้ามิใช่คุณชายเว่ย" หลานซีเฉินย้ำกับคนตรงหน้าอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่

    "งั้นเชิญท่านนั่งก่อนเถิด ข้าจะไปเตรียมน้ำชา..."

    เจียงเฉิงที่พยายามจะหลีกเลี่ยงหลานซีเฉิน แต่พอได้เห็นสายตาและน้ำเสียงของคนตรงหน้าก็จนใจ จนต้องเชิญคนตรงหน้านั่งเพื่อพูดคุยกัน ถึงเขาจะไม่อยากคุยกับคนตรงหน้าแต่ตอนนี้ก็คงไม่อาจหลีกเลี่ยงไปจากสถานการณ์ในตอนนี้ได้

    "เจียงเฉิงข้าแค่อยากถามอะไรกับเจ้าสักหน่อยใช่เวลาไม่นานนัก เจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องไปเอาน้ำชามารับรองข้าหรอก"

    เจียงเฉินได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกลังเลนิดหน่อย ก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงกันข้ามกับหลานซีเฉิน

    “...เชิญท่านหลานซีเฉิน”

    “เจียงเฉิง...อีกไม่นานเจ้า จะแต่งฟูเหรินเข้าตระกูลของเจ้าใช่หรือไม่”

    "..."

    เจียงเฉิงนิ่งไปสักพักหนึ่งกับคำถามนั้นที่มันออกมาจากปากของหลานซีเฉิน เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าคนที่มาถามเรื่องนี้กับเขาตรง ๆ จะเป็นหลานซีเฉิน คนที่เขามีใจให้มาเนิ่นนาน แต่...จะให้เขาตอบตามอำเภอใจก็คงจะไม่ได้ ถึงแม้เขาอยากจะเอาแต่ใจตัวเองมากเพียงใดก็ตาม เขาในตอนนี้นั้น...หน้าที่จะต้องมาก่อนความรู้สึกของตัวเองเสมอ

    "เจียงเฉิง?" 

    หลานซีเฉินรู้สึกร้อนใจขึ้นมาแทบจะทันที เพราะหลังจากที่เขาถามคำถามที่มันค้างคาอยู่ในใจออกไป คนตรงหน้าก็เงียบไปทันที หรือเขาไม่ควรถามคำถามนี้ออกไปกัน หลานซีเฉินได้แต่คิดในหัวไปต่างๆ นานา จึงเรียกเจียงเฉิงอีกครั้งเพราะเห็นคนตรงหน้าเอาแต่นิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งแล้ว

    "...ยัง"

    "ข้ายังไม่ได้ตัดสินใจใด ๆ ทั้งสิ้น แต่มันก็ไม่แน่เช่นกันแต่ถ้าท่าน..."

    เจียงเฉิงยังพูดไม่ทันจบก็ถูกคนตรงหน้าพูดขึ้นมาเสียก่อน ทำให้เขาต้องกลืนคำที่อยากจะพูดลงคอไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เขาอยากจะให้คนตรงหน้าพูดอะไรก็ได้เพื่อรั้งเขาไว้แม้เพียงคำเดียวก็ยังดี แต่หลานซีเฉินผู้นี้กลับพูดอวยพรเขาเสียอย่างงั้น มันช่างเป็นคำอวยพรที่ทำให้เขาเจ็บปวดใจมากกว่าการที่โดนเว่ยอู๋เซียนต่อว่ามาก่อนหน้านี้เสียอีก เมื่อมันออกมาจากปากของคนตรงหน้า...คนที่เขารักหมดหัวใจ

    "...งั้นเองรึ มันอาจจะเร็วไปเสียหน่อยแต่ข้าว่า... การที่เจ้าจะได้แต่งฟูเหรินเข้ามายังตระกูลเจียงนั้น คนที่ฟูเหรินเลือกให้เจ้า จะต้องเป็นแม่นางที่สง่างามทั้งรูปร่างหน้าตาและจิตใจเป็นแน่ ข้าขอให้เจ้ามีความสุขมาก ๆ เจียงเฉิง"

    "ข้า...ก็คิดเห็นเช่นนั้นเหมือนกัน ข้าต้องขอขอบคุณประมุขหลานที่อวยพรให้ข้าล่วงหน้าเช่นนี้"

    "...ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับเจ้าเพียงเท่านี้ ข้าขอตัวก่อน"

    หลานซีเฉินทำเพียงส่งรอยยิ้มบาง ๆ ให้กับคนตรงหน้าก่อนจะขอตัวกลับ

    "..."

    เจียงเฉิงทำท่าจะรั้งคนตรงหน้าอีกครั้ง แต่ความกล้าที่เขามีก็กลับไม่เพียงพอให้เขายื่นมือคู่นี้ออกไปหาได้ ทำได้เพียงมองส่งจนประมุขหลานแห่งกูซูลับสายตาไป ด้วยความรู้สึกที่สับสนปนผิดหวังราวกับว่าอยากให้คนผู้นั้นรั้งเขาไว้ด้วยเหตุผลอันใดก็ได้ ไม่ว่ามันจะดูไม่น่าเชื่อถือหรือไร้เหตุผลขนาดไหนเขาก็จะเชื่อในทุก ๆ คำพูดของคนผู้นั้น แต่ประโยคที่เขาไม่อยากได้ยินมันมากที่สุดกลับหลุดออกมาจากปากของหลานซีเฉินเสียได้ 'ขอให้ข้ามีความสุขงั้นหรือ' มันจะเป็นไปได้ยังไงกันเล่า ในเมื่อทั้งหัวใจของข้ามีเพียงท่านผู้เดียวเท่านั้น ไม่ว่าท่านจะยินดีหรือไม่ก็ตาม เพราะงั้น...ข้าขอโทษ ขอโทษที่ข้ามีความสุขอย่างที่ท่านหวังไว้ไม่ได้หลานซีเฉิน

     

    ยามจื่อ (23:00-24:59) ที่เงียบสงบทุกคนต่างเข้าสู่ห้วงนิทรา ผิดกับลูกชายเพียงหนึ่งเดียวของสกุลเจียงแห่งอวิ๋นเมิ่งที่กำลังร้องไห้อย่างเงียบ ๆ ด้วยความเจ็บปวดหัวใจ เขาพยายามไม่มองหน้าหลานซีเฉินในตอนนั้น แต่แค่เพียงคนผู้นั้นพูดประโยคนั้นออกมาก็สามารถทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดหัวใจได้มากมายถึงเพียงนี้ ราวกับหัวใจดวงนี้กำลังจะแตกสลายลงได้ทุกเมื่อยามที่เห็นหน้าของหลานซีเฉิน ยิ่งคิดถึงก็ยิ่งเจ็บปวด คำพูดเหล่านั้นยังคงคอยวนเวียนอยู่ในหัวของเขามาตลอด ไม่ว่าจะสลัดมันออกไปจากความคิดของเขามากเพียงใดแต่มันก็ไม่มีทางลืมไปได้เลยแม้แต่น้อย มันยังคอยทำร้ายความรู้สึกและหัวใจของเขามาตลอดตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้และมันคงจะมีผลไปตลอดชีวิต...

    ยิ่งปฏิเสธความรู้สึกนี้มากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งกัดกินหัวใจของเขาไปมากขึ้นเท่านั้น ทำให้เขาทรมานมากขึ้นเรื่อย ๆ ทรมานราวกับจะขาดใจเสียให้ได้ในตอนนี้

    ถ้าเขาเลือกที่จะบอกความรู้สึกที่มีทั้งหมดให้กับหลานซีเฉินได้รับรู้ในตอนนั้น มันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหนกัน มันจะทำให้เขารู้สึกทรมานน้อยลงไปจากตอนนี้ได้หรือไม่ นี่คือสิ่งที่เขาคิดมาตลอดตั้งแต่ที่หลานซีเฉินกล่าวลาและกลับไปยังกูซู การที่แม่นางเหม่ยหลี่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตระกูลเจียงนั้น เขาไม่อาจปฏิเสธเรื่องนั้นได้และอีกไม่นานเขาก็คงจะได้แต่งแม่นางมาเป็นฟูเหรินให้ตระกูลเจียงในเร็ววันอย่างไม่ต้องสงสัยเป็นแน่...

    งั้นถ้าปาฏิหาริย์มีจริง ขอแค่ครั้งนี้ก็ยังดี ขอให้ข้าเพียงได้บอกคำคำนี้ออกไปให้ท่านได้ฟังเท่านั้น ข้าก็ไม่ต้องการสิ่งอื่นใดอีกต่อไปแล้วในชีวิตนี้ 

    "ฮึก...ข้า ข้ารักท่านหลานซีเฉิน ฮึก ฮือ..."

    ได้โปรดส่งมันไปให้ถึงเขาที!

    เว่ยอู๋เซียนที่เดินอยู่ใกล้ ๆ กับเรือนนอนของเจียงเฉิง ได้ยินเสียงคนร้องไห้สะอึกสะอื้นและพร่ำบอกคำสารภาพรักออกมานับครั้งไม่ถ้วนราวกับกำลังจะขาดใจเสียให้ได้ เว่ยอู๋เซียนจึงตัดสินใจเสียมารยาทเปิดประตูเข้าไปด้านใน และเพราะเปิดเข้าไปโดยที่ไม่ได้บอกกล่าวคนด้านในอย่างเจียงเฉิงที่กำลังร้องไห้อยู่ เขาจึงพยายามปาดหยาดน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างลวก ๆ และพยายามอย่างถึงที่สุด เพื่อสะกดกลั้นเสียงสะอึกสะอื้นของตัวเองเอาไว้ เมื่อเห็นว่าเว่ยอู๋เซียนเข้ามายังในห้องนอนของตน

    "เว่ยอู๋เซียน! เจ้าคนไร้มารยาท! เจ้าเข้ามาในเรือนนอนของข้าทำไมกัน! กลับไปเรือนนอนของเจ้าเสีย!"

    เว่ยอู๋เซียนไม่สนใจเสียงด่าทอของเจียงเฉิง แต่เลือกมองสำรวจใบหน้าของเจียงเฉิงที่ตนรักราวกับเป็นน้องชายแท้ ๆ ตรงหน้าอย่างไม่ปิดบัง ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่ตนอยากพูดมานานออกไป โดยที่ไม่กลัวแซ่จื่อเตี้ยนในมือเจียงเฉิงจะฟาดมาที่ตนเลยแม้แต่น้อย

    "เจียงเฉิง...เจ้าพูดคุยกับข้าและศิษย์พี่ได้เสมอเมื่อเจ้าต้องการ เจ้ารู้เรื่องนี้ดีใช่หรือไม่? เจ้าไม่จำเป็นต้องเก็บเรื่องทุกข์ร้อนใจนี้ไว้เพียงลำพังเพื่อให้ตัวเองทรมานอย่างเช่นตอนนี้หรอกนะ ข้าและศิษย์พี่จะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอไม่ว่าเจ้าจะคิดหรือทำสิ่งใดก็ตาม เพราะงั้นความรู้สึกนั้นอย่าได้ปิดบังศิษย์พี่กับข้าอีกต่อเลยนะ เจียงเฉิง"

    "..."

    "ถ้าเจ้าไม่อยากจะแต่งกับแม่นางผู้นั้น เจ้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องแต่ง! มันไม่เป็นอะไรเลยไม่ใช่หรือเพราะงั้น..."

    “...ข้าทำแบบนั้นได้จริง ๆ น่ะหรือ เว่ยอู๋เซียน ข้าสามารถทำตามอำเภอใจได้จริง ๆ น่ะหรือ!?”

    เว่ยอู๋เซียนเผลอสะอึกไปชั่วอึดใจหนึ่งก่อนจะตอบออกไปด้วยความหนักแน่น

    “...แน่นอนเจ้าทำตามอำเภอใจได้เสมอ ถ้าสิ่งนั้นจะไม่ทำให้เจ้าต้องมาเจ็บปวดเจียนตายอย่างเช่นในตอนนี้”

    “เว่ย...เว่ยอู๋เซียน ข้าน่ะ ข้า...”

    เจียงเฉิงที่ได้ยินประโยคที่ตนเองอยากได้ยินมากที่สุดออกมา ก็ปล่อยน้ำตาที่พยายามสะกดกลั้นมันมานานออกมาอีกครั้งอย่างไม่ปิดบังคนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย เขารู้ดีว่ามันคือคำปลอบใจ และไม่อาจทำได้จริง แต่ในเมื่อเขาได้ยินมันแล้ว เขาก็ขอมีความสุขแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี

    “อย่าได้เสียใจไปเลยเจียงเฉิง ข้าเชื่อใจในการตัดสินใจของเจ้าเสมอ ขอแค่ให้การตัดสินใจนั้นมันไม่ทำร้ายเจ้าก็เพียงพอแล้ว”

    เว่ยอู๋เซียนเดินเข้าไปใกล้เจียงเฉิงเรื่อย ๆ เพื่อที่จะได้เข้าไปปลอบประโลมเจียงเฉิงได้ แต่ยังไม่ทันได้ถึงเจ้าตัว เขาก็ต้องหยุดฝีเท้าลงเสียก่อนหลังจากที่ได้ยินถึงสิ่งที่เจียงเฉิงถามออกมา

    “แล้วท่านแม่...”

    เว่ยอู๋เซียนเช็ดน้ำตาเจียงเฉิงออกจากใบหน้ามนอย่างเบามือ ราวกับกลัวว่าคนตรงหน้าจะแตกสลายลงไปได้ทุกเมื่อ ถ้าเขาเช็ดคราบน้ำตาเหล่านั้นแรงจนเกินไป

    “ข้าเชื่อว่า...ท่านจะต้องเข้าใจเจ้าแน่ เพราะงั้นเลิกร้องไห้แล้วนอนเสียเถอะนะ คืนนี้ข้าจะอยู่กับเจ้าเอง”

    “...อือ”

    ถึงเจียงเฉิงจะตอบรับอย่างว่าง่าย แต่ในใจของเขาก็รู้ดีว่ามันไม่มีวันเป็นไปได้อย่างที่เว่ยอู๋เซียนบอกกับตนเองเป็นแน่ ไม่ใช่เพียงมีทางเท่านั้นแต่มันยังคงไม่มีวันอีกด้วย แต่...ถึงจะเป็นเช่นนั้นจริง เขาก็ยังคงคาดหวังอยู่ในส่วนลึกของหัวใจดวงนี้ แม้มันจะเป็นเพียงความหวังเล็ก ๆ ก็ตาม

     

    เมื่อยามเฉิน (07:00-08:59) มาเยือนมันคงจะเป็นเช้าที่สดใสสำหรับใครหลาย ๆ คนแต่คงไม่ใช่สำหรับเจียงเฉิงที่ไม่ได้นอนมาตลอดทั้งคืนแล้วยังต้องมาเจอกับแม่สื่อที่คุ้นหน้าคุ้นตากันตั้งแต่รุ่งเช้าแบบนี้อีก เฮ้อ เขาก็อยากจะถอนหายใจใส่แม่สื่อผู้นี้ตรง ๆ แบบเว่ยอู๋เซียนทำอยู่หรอกนะแต่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้ จะถือซะว่าเว่ยอู๋เซียนทำแทนข้าไปก็แล้วกัน แล้ว...การที่แม่สื่อปากรั่วผู้นี้อยู่ที่นี่แสดงว่า แม่นางเหม่ยหลี่ก็คงจะมาด้วยเช่นกันสินะ เฮ้อ ช่างเป็นเช้าสำหรับข้าที่น่าหงุดหงิดใจสิ้นดี

    "เจียงเฉิง" 

    เจียงเฉิงที่กำลังจะหมุนตัวกลับไปยังลานฝึกก็หยุดชะงักฝีเท้าของตัวเองทันที เพราะถูกศิษย์พี่เรียกไว้เสียก่อน

    "ศิษย์พี่? ท่านแม่?"

    "วันนี้เจ้าไม่จำเป็นจะต้องไปที่โรงฝึกหรอก พาแม่นางเหม่ยหลี่เยี่ยมชมรอบ ๆ เมืองและซื้อข้าวของที่นางชอบเถอะ"

    "...ขอรับท่านแม่"

    ถ้าท่านแม่พูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาจะไปปฏิเสธอันใดได้อย่างไรกันเล่า ใช่ข้าปฏิเสธไม่ได้เลย รวมถึง...เรื่องนั้นด้วยถึงแม้เว่ยอู๋เซียนจะพูดแบบนั้นออกมาก็เถอะ แต่ข้าจะไปทำแบบนั้นได้อย่างไรกันเล่า

    "เชิญแม่นางเหม่ยหลี่"

    "ขอบคุณเจ้าคะ คุณชาย"

    แม่นางเหม่ยหลี่ตอบรับคำเจียงเฉิงก่อนจะส่งยิ้มให้เขา

    "..." ช่างเป็นรอยยิ้มที่เหมือนคนผู้นั้นจริง ๆ ไม่ เจียงเฉิง เจ้าต้องหยุดคิดเสีย นางกับคนผู้นั้นเป็นคนละคนกัน

     

    ผ่านยามเฉิน (07:00-08:59) ล่วงสู่ยามเซิน (15:00-16:59) ทั้งสองที่กำลังเดินทางกลับท่าเรือสัตตบงกชนั้น เจียงเฉิงที่เดินอย่างร่องลอยก็ถูกใครบางคนชนเข้า ถ้าเป็นเมื่อหลายเดือนก่อนไม่สิต้องบอกว่าถ้าเป็นตลอดมาก่อนจะดูตัว เขาคงเอาจื่อเตียนในมือฟาดคนผู้นั้นไปแล้วเป็นแน่ แต่ตอนนี้แม้แต่เดิน เขายังไม่มีกะจิตกะใจเลยด้วยซ้ำไป แล้วเขาจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปฟาดแซ่ใส่ผู้อื่นได้กันเล่า

    "ข้า...ข้าขอโทษขอรับ" เสียงที่แสนจะคุ้นหูดึงสติของเขาให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง

    "...หลานซือจุย?"

    เจียงเฉิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างสงสัยในหลาย ๆ เรื่องเพราะไม่คิดว่าคนของตระกูลหลานจะมาอยู่ที่นี้ได้ แถมด้วยนิสัยและท่าทางของหลานซือจุยผู้นี้แล้วนั้น ไม่ใช่คนที่จะมาเดินหรือวิ่งชนใครต่อใครได้ แต่ถ้าเป็นหลานจิงอี๋ก็ว่าไปอย่าง รายนั้นนิสัยพอ ๆ กับหลานของเขาไม่มีผิด หรือเป็นเขาเองที่เหม่อลอยจนไปชนเข้ากับคนของตระกูลหลานกัน?

    "เป็นข้าหรือไม่ที่เดินชนเจ้า?" ด้วยความสงสัยเจียงเฉิงจึงได้เอ่ยปากถามคนตรงหน้าออกไป

    "ไม่ขอรับ ข้าผิดเองที่เดินไม่ดีทำให้ไปชนเข้ากับท่าน"

    "เป็นเช่นงั้นรึ ถ้าเป็นเช่นงั้นจริงอย่างที่เจ้าว่า ก็ไม่เป็นไรหรอก ข้าขอตัวก่อน"

    "ขอรับ"

    เจียงเฉิงพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินไปหาแม่นางเหม่ยหลี่ที่ยืนคอยตนอยู่ไม่ไกลกันมากนัก

    "ข้าต้องขอโทษแม่นางด้วยที่ทำให้คอยเสียนาน"

    "ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ นั่นศิษย์ของตระกูลหลานหรือเจ้าคะ?"

    "ใช่ เรากลับท่าเรือสัตตบงกชเลยดีหรือไม่ หรือเจ้ายังอยากจะเดินเล่นและเลือกซื้อข้าวของอีกสักหน่อย ถ้าเจ้าต้องการข้าก็จะพาเจ้าไป"

    "กลับกันเลยดีกว่าเจ้าค่ะ"

    "งั้นก็ตามแต่ใจเจ้า"

    "มันอาจจะเป็นเรื่องเสียมารยาทเสียหน่อย"

    "มีเรื่องอันใดก็ว่ามาเถอะ จะเสียมารยาทหรือไม่ ข้าจะตัดสินใจหลังจากที่ได้ฟังเอง"

    เจียงเฉิงเดินช้าลงให้เท่ากับคนข้างกายมองตรงไปข้างหน้าอย่างคนที่กำลังคิดอะไรตลอดเวลาโดยที่ไม่ลืมที่จะกางร่มให้กับคนข้าง ๆ และในบางครั้งก็เผลอลอบถอนหายใจออกมาโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว

    หลังจากที่เหม่ยหลี่พูดแบบนั้นออกไป ก็ใช้เวลาสักพักหนึ่งหรือเกือบจะใช้เวลาเทียบเท่าหนึ่งก้านธูป และในที่สุดนางก็ยอมเปิดปากพูดออกมา 

    "...ก่อนที่ข้าจะมาที่ท่าเรือสัตตบงกชแห่งนี้ตามที่ท่านแม่ข้าบอก ข้าได้ยินชื่อเสียงของท่านมามากมาย ทุกข่าวลือที่ข้าได้ยินทำให้ข้านึกกลัวและตั้งแง่กับท่าน"

    "..."

    "ข่าวลือที่ข้ามักจะได้ยินบ่อยที่สุดคงหนีไม่พ้น คำกล่าวที่ว่าท่านเป็นคนเจ้าอารมณ์ร้าย ทำร้ายทุกคนที่ไม่ถูกใจและไม่สนใจคนรอบข้าง แต่เมื่อข้าได้เจอท่านและได้อยู่กับท่านในตอนนี้ ข้าก็รู้ได้ทันทีว่าคนพวกนั้นเข้าใจท่านผิดไปเสียมาก ท่านแตกต่างจากคำเล่าลือเหล่านั้น"

    "งั้นหรือ"

    เจียงเฉิงตอบรับอย่างขอไปทีก่อนจะคิดตามสิ่งที่นางได้บอกเล่ามาทั้งหมด เท่าที่ฟังทุกสิ่งทุกอย่างก็คือข้าทั้งหมดที่แสดงให้ทุกคนได้เห็น ถึงจะดูเกินจริงไปเสียหน่อยแต่ทุกอย่างก็คือข้า ข้าก่อนหน้านี้ ก่อนหน้าที่จะต้องมาเจอกับเจ้า

    "เจ้าค่ะ ทั้ง ๆ ที่ท่านสามารถปฏิเสธข้าได้ แต่ท่านก็ไม่ทำเพราะมันเป็นคำสั่งของท่านป้าหรือไม่เจ้าคะ"

    "...ใช่ เพราะมันเป็นคำมั่นสัญญาของท่านแม่ที่มีให้กับสหายรัก แล้วมีหรือลูกชายอย่างข้าจะไปขัดท่านได้ และข้าเองก็ไม่ได้เกลียดชังอันใดในตัวเจ้าด้วย"

    "งั้นหรือเจ้าคะ ท่านตัดสินใจได้ดีแล้วล่ะเจ้าค่ะ ที่ตัดสินใจได้เช่นนี้ เพราะถ้าคุณชายไม่ทำตามคำมั่นสัญญาแล้วนั้น ข้าคงจะต้องบังคับคุณชายเสียหน่อย ด้วยการไปป่าวประกาศให้คนรู้ให้ทั่วถึงความผิดปกติของท่าน และแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ฝ่ายท่านฝ่ายเดียวที่จะได้รับความเสียหายในครั้งนี้ แต่ประมุขหลานเองก็คงจะตกที่นั่งลำบากเฉกเช่นเดียวกันกับท่านเป็นแน่ ท่านคงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นหรอกใช่ไหมเจ้าคะ"

    "...เจ้ากล้าขู่ข้างั้นรึ!"

    เจียงเฉิงเผลอเอาแซ่จื่อเตี้ยนที่อยู่ในมือตนออกมาอย่างแค้นเคืองหญิงตรงหน้า แต่เพราะคนตรงหน้าคือหญิงและยังเป็นถึงลูกสาวของสหายท่านแม่เขาจึงทำได้เพียงอดกลั้นความโกรธของตัวเองเอาไว้ แล้วเก็บแซ่จื่อเตี้ยนกลับเข้าไปยังที่ของมันตามเดิม แม้แต่ปกป้องคนที่ตนรักจากหญิงสาวตรงหน้าเขายังไม่กล้า แล้วแบบนี้เขาจะไปปกป้องคนที่ตนรักจากคนทั้งยุทธภพได้เยี่ยงไรเล่า ทำไมข้า ทำไมข้าถึงได้อ่อนแอขนาดนี้!

    แม่นางผู้นี้กล้าดียังไงมาขู่ข้า! แม่นางเหม่ยหลี่ไม่ได้ดีเหมือนอย่างที่แสดงให้ผู้อื่นได้เห็น นางกับแม่สื่อช่างเหมาะสมกันเสียจริง!

    "อา...ในตอนแรกข้าก็ไม่ได้เกลียดชังอันใดในตัวเจ้าเลยแม้แต่น้อย ไม่มีข้อกังขาอันใดเลยในคุณสมบัติที่เจ้าได้แสดงให้เห็น จนกระทั่งได้เห็นเนื้อแท้ที่เจ้าได้แสดงมันออกมาผ่านทั้งคำพูดและการกระทำ ช่างเป็นอสรพิษในคราบของแม่นางน้อยผู้อ่อนหวานเสียนี่ หึ ข้าขอปรบมือให้กับการแสดงเช่นนี้ ข้าไม่เคยชอบการแสดงไหนเท่าเรื่องนี้เลยสักครา มันช่างเป็นการแสดงที่ข้าต้องขอคารวะเลยล่ะ!"

    เจียงเฉิงรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับการแสดงที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ของแม่นางเหม่ยหลี่ ผู้ที่จะต้องตกแต่งเข้าไปยังตระกูลของเขาในอีกไม่ช้า แม้รู้ถึงเนื้อแท้ของนางแล้วแต่เขาก็ยังมิอาจทำอะไรได้อยู่ดี ไม่ว่าเขาจะเลือกเส้นทางไหนทุกเส้นทางล้วนส่งผลเสียให้กับหลานซีเฉินทั้งสิ้น แล้วแบบนี้เขาจะไปทำอะไรได้กันเล่า 

    "เหอะ ถึงคุณชายจะเกลียดชังข้าไปมากสักแค่ไหนแต่ท่านก็ทำอันใดข้าไม่ได้อยู่ดี! เพราะงั้น...ตอนนี้ข้าเลยเป็นตัวของตัวเองและกำลังมีความสุขอย่างไรเล่า"

    "..."

    รอยยิ้มที่เหมือนกับคนคนนั้น รอยยิ้มแบบนี้อีกแล้ว ไม่ว่าจะยังไงแม่นางผู้นี้กับหลานซีเฉินก็เป็นคนละคนกันอยู่ดี แถมนิสัยก็ต่างกันราวฟ้ากับเหวเช่นนี้ ข้าจะทำเหมือนแม่นางเป็นคนคนเดียวกันกับคนผู้นั้นเพียงเพราะรอยยิ้มที่เหมือนกันไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด!

     

    "ท่านพี่"

    หลานวั่งจีมองตามสายตาของหลานซีเฉิงจนไปสะดุดกับคนผู้หนึ่งที่แสนคุ้นตา ก่อนจะหันกลับมาถามพี่ของตนด้วยความห่วงใย

    "ดีแล้วหรือขอรับ"

    "อือ ดีแล้วสิแม่นางผู้นั้น...ก็ดูเหมาะสมกับประมุขเจียงไม่ใช่...หรือ"

    หลานซีเฉินหยุดพูดกะทันหันหลานวั่งจีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มองผู้เป็นพี่อย่างเงียบ ๆ ก่อนจะเห็นน้ำใส่ ๆ ที่เอ่อล้นรอบขอบตาค่อย ๆ ไหลลงมาช้า ๆ อย่างเงียบงัน

    "...กลับอวิ๋นเซินปู้จื้อฉูกันเถอะวั่งจี"

    "..."

    หลานวั่งจีพยักหน้าก่อนจะดูว่าซือจุยและจิ่งอี๋ออกมาจากร้านขายของแล้วจึงเดินตามหลานซีเฉินกลับอวิ๋นเซินปู้จื้อฉู ถึงแม้เขาจะรู้สึกเป็นห่วงพี่ของตนเองมากแค่ไหน แต่ทุกอย่างก็ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านพี่ของเขาเท่านั้น เพราะมันคือเส้นทางที่พวกเขาต้องเลือกมันด้วยตนเอง

     

    ยามอิ่ว (17:00-18:59) สกุลเจียงแห่งอวิ๋นเมิ่งถึงแม้ในเวลานี้จะขาดประมุขแต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป ทั้งสี่ชีวิตต่างพร้อมหน้าพร้อมตากันรับประทานอาหารได้ไม่นาน ฟูเหรินแห่งสกุลเจียงก็พูดเรื่องงานแต่งงานของเจียงเฉิงบุตรชายเพียงคนเดียวและเหม่ยหลี่บุตรสาวของสหายขึ้นมา และไม่ลืมที่จะลอบมองปฏิกิริยาของเจียงเฉิงลูกชายเพียงคนเดียวของตนอย่างเงียบ ๆ

    "เจียงเฉิงพรุ่งนี้แม่จะแต่งเหม่ยหลี่เข้าสกุลเลยเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไรบ้าง"

    เคร้ง ๆ

    ตะเกียบในมือของเจียงเฉิงหลุดและหล่นลงไปยังใต้โต๊ะทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นออกมาจากแม่ของตน เว่ยอู๋เซียนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ เก็บมันขึ้นมาให้เจียงเฉิงก่อนจะเปลี่ยนอันใหม่ให้แล้วกำมือน้องอย่างให้กำลังใจ เจียงเฉิงมองเว่ยอู๋เซียนช้า ๆ ก่อนจะกำมือคนพี่แน่นอย่างคนทำอะไรไม่ถูก และต้องการกำลังใจอย่างมากในการที่จะต้องผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้ เพราะเขาไม่รู้เลยสักนิดว่าท่านแม่จะให้แต่งกับนางไวถึงเพียงนี้ เว่ยอู๋เซียนกำมือของเจียงเฉิงแน่นขึ้นเพื่อบอกเป็นนัยให้เขาได้พูดในสิ่งที่อยากจะพูดออกไปเสียที ขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไปเขาคงได้ไม่มีความสุขไปตลอดชีวิตคู่นี้แน่นอน

    "ท่านแม่ ข้า ข้าไม่อยากแต่งงานกับนาง"

    เจียงเฉิงตัดสินใจพูดออกไปด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่ แต่ก็ยังคงกุมมือเว่ยอู๋เซียนไม่ปล่อยราวกับกำลังหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจในตอนนี้

    "เจ้าไม่ถูกใจแม่นางเหม่ยหลี่ตรงไหนกันก็บอกแม่มา แม่จะได้บอกปฏิเสธแม่นางได้ถูก"

    "ข้า..." เจียงเฉิงเงียบไปสักพักก่อนที่จะตัดสินใจพูดมันออกมา

    "แม่นางผู้นั้นเป็นหญิงที่ร้ายกาจ ข้า ข้าไม่ต้องการให้นางเข้ามาเป็นฮูหยินคนต่อไปของที่นี่และข้า...ข้าเองก็มีคนที่รักอยู่แล้ว"

    "เจ้ามีคนที่รักอยู่แล้ว? ใยไม่เคยบอกเรื่องนี้กับข้า เจ้ายังเห็นข้าเป็นแม่ของเจ้าอยู่หรือไม่!"

    "ทะท่านแม่ ข้ายังคงเห็นท่านเป็นแม่ของข้าอยู่เสมอ"

    "แล้วแม่นางผู้นั้นเป็นใครกัน"

    ถึงท่านแม่จะตอบตามปกติแต่เขาก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติที่กำลังจะตามมาหลังจากที่เขาบอกว่าใครเป็นคนที่เขารักแต่ถ้าเขาไม่พูดมันออกไปในตอนนี้เขาก็จะไม่มีโอกาสได้พูดมันอีกแล้วและมันก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงด้วยเพราะงั้นการที่เขาตัดสินใจพูดออกไปในครั้งนี้ถือเป็นตัวตัดสินชีวิตของเขาทั้งชีวิตและท่าเรือที่เขารักแห่งนี้

    "...ไม่ใช่ คนที่ข้ารักไม่ใช่แม่นางบ้านไหนทั้งนั้นแต่เป็น"

    เจียงเฉิงอยากจะพูดออกไปด้วยความหนักแน่และเด็ดเดี่ยวแต่เมื่อต้องบอกต่อหน้าแม่ของตนเองกลับทำตามที่ตัวเองต้องการไม่ได้ คำที่สำคัญที่สุดก็ดันพูดมันออกมาไม่ออกอย่างที่ต้องการ

    "หลานซีเฉิน...ประมุขหลานขอรับ"

    เพล้ง!

    "เจ้าว่าอย่างไรนะ เจียงเฉิง!!"

    ถ้วยน้ำชาที่อยู่ในมือของฮูหยินคนปัจจุบันถูกขว้างไปกระทบกับพื้น จนเกิดเสียงดังจนทำให้เจียงเฉิงที่อยู่ใกล้ ๆ ต้องตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างที่ตนเองก็ไม่อาจจะตั้งตัวได้ทัน ถ้วยน้ำชาที่ถูกขว้างลงพื้นนั้นห่างจากเจียงเฉิงไปแค่คืบเดียวเท่านั้น ศิษย์พี่และเว่ยอู๋เซียนที่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็ตกใจไม่ต่างกันแต่เมื่อพวกเขาทั้งสองตั้งสติได้แล้วก็รีบมาลากเจียงเฉิงให้ออกมาจากตรงนั้นทันที แล้วดันเขาไปไว้ที่ทางด้านหลังของทั้งสองแทน

    "ท่านแม่ท่านใจเย็น ๆ ก่อน ได้โปรดฟังเจียงเฉิงก่อนเถิด"

    "เจียงเยี่ยนหลี่ เว่ยอู๋เซียนออกไป! ก่อนที่ข้าจะฟาดจื่อเตี้ยนใส่พวกเจ้าแทนเด็กนั่น!!"

    "ท่านแม่ข้า..."

    "ฟูเหรินอย่าทำเจียงเฉิงเลยขอรับ ถ้าท่านฟาดเขาท่านก็ฟาดมาที่ข้าแทนเขาเสียเถอะ"

    "ดี! ถ้าพวกเจ้าเห็นดีเห็นงามกับเด็กนั้นนักงั้นข้าก็จะได้ไม่ต้องยั้งมือใด ๆ ทั้งสิน!! จับเจียงเยี่ยนหลี่กับเจียงเฉิงไว้ ให้เจียงเฉิงได้ดูให้เต็ม ๆ สองตาของเขา เขาจะได้รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดออกมามันจะทำให้คนในจวนเดือดร้อนเพียงใด ลากเว่ยอู๋เซียนมาตรงหน้าข้า!"

    เปรี๊ยะ!!

    "ไม่ท่านแม่!"

    เว่ยอู๋เซียนสายหน้าเพื่อไม่ให้เขาเข้ามาโดนจื่อเตี้ยนฟาด เขาทั้งห้ามทั้งร้องขอแต่ดูเหมือนคนเป็นแม่จะไม่ฟังเสียง-v'เขาเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเสียงของเขามันไม่มีอยู่จริงและได้ไร้ค่าไปแล้วในตอนนี้

    เจียงเฉิงสลัดคนที่จับเขาออกอย่างร้อนรน ก่อนจะวิ่งไปหยุดอยู่ตรงหน้าของทั้งคู่ พร้อมกับพูดประโยคที่รู้สึกว่าตัวเองนั้นอ่อนแอที่สุดออกมาทั้งน้ำตา

    เว่ยอู๋เซียนที่เห็นเจียงเฉิงวิ่งมาหาตนก็รีบไปคว้าตัวเจียงเฉิงเข้ามากอดไว้ทันที เพื่อไม่ให้เจียงเฉิงต้องโดนแซ่ฟาดไปด้วยอีกคน เจียงเฉิงที่เห็นแบบนี้ก็ยิ่งรู้สึกผิดและเสียใจถึงที่สุด เขาไม่ควรเลย ไม่ควรพูดออกไปแบบนั้นเลยสักนิด ถ้าเขายอมทำตามอย่างว่าง่ายเหตุการณ์นี้ก็คงไม่เกิดขึ้น เว่ยอู๋เซียนก็ไม่ต้องมาเจ็บตัวเพราะเขาเช่นนี้

    "พอแล้วท่านแม่! ข้ายอมแล้ว! ข้ายอมท่านทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว!! ข้าจะแต่งกับเหม่ยหลี่ตามที่ท่านต้องการ เพราะงั้น เพราะงั้นท่านหยุดฟาดเว่ยอู๋เซียนเสียที!!"

    เจียงเฉิงพูดจบฟูเหรินของสกุลเจียงจึงหยุดจื่อเตี้ยนลง พร้อม ๆ กับร่างที่กอดเขาอยู่นั้นก็ไหลลงไปยังตักของเขาเช่นเดียวกัน

    "เว่ยอู๋เซียน! เจ้าได้ยินข้าหรือไม่! เว่ยอู๋เซียน! แล้วพวกเจ้ายืนเฉยกันอยู่ทำไม! ไปเตรียมยามาเสียสิ! หรือต้องรอให้เว่ยอู๋เซียนตายไปตรงนี้หรือไร! ถ้าเว่ยอู๋เซียนเป็นอันใดไปข้าจะส่งพวกเจ้าที่อยู่ที่นี่ตามเขาไป!!"

    เพียะ!

    "!!"

    "เจียงเฉิง นี่สำหรับคำพูดที่ไม่ได้ไตร่ตรองให้ดีของเจ้า"

    เจียงเฉิงหันไปตามแรงที่ถูกแม่ของตนตบ เขาไม่มองผู้เป็นแม่และไม่โต้ตอบอะไรทั้งสิ้นทำเพียงกัดฟันอย่างเจ็บปวดใจเท่านั้น 

    "จะเจียงเฉิง"

    "ข้า...ข้าขอโทษ"

    เจียงเฉิงขอโทษเว่ยอู๋เซียนทั้งน้ำตาเขาไม่สามารถปฏิเสธแม่ของเขาได้ ขัดขืนก็ไม่ได้ บอกนิสัยที่แท้จริงที่ตนได้เจอมาของนางไปแล้วแต่เขาก็ยังทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เขาทำอะไรไม่ได้สักอย่าง! ทำได้เพียง...ยอมรับในโชคชะตาของตัวเองที่ถูกผู้เป็นแม่กำหนดไว้ให้ก็เท่านั้น ชีวิตที่เขาไม่สามารถเลือกได้เช่นนี้ ช่างน่าสิ้นหวังเสียจริง

    ศิษย์พี่ที่ถูกข้ารับใช้รั้งไว้ก็หมดเรี่ยวแรงที่จะดิ้นรน น้ำตาไหลอาบสองแก้มนวลอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงได้ง่าย ๆ  นางมองน้องชายทั้งสองอย่างเจ็บปวดที่ตัวเองนั้นไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยแม้แต่นิดเดียว โดยเฉพาะเจียงเฉิงที่ต่อจากนี้ไปจะต้องไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต

    "ข้าจะเลื่อนให้เจ้า! เพราะงั้นอีกสองวันเจ้าจะต้องแต่งกับแม่นางเหม่ยหลี่ เพื่อให้นางได้เป็นฟูเหรินเข้ามายังสกุลเจียงจำไว้ด้วยเจียงเฉิง!"

    เขาไม่ตอบอะไรกลับไปสักคำ ตอนนี้เขาทำได้เพียงแค่กลั้นน้ำตาที่ไหลออกมาก็เต็มกลืนมากพออยู่แล้ว สำหรับเขาในตอนนี้ก็ทำได้เพียงยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างเท่านั้น

     

    ในที่สุดยามซื่อ (09:00-10:59) ของเช้าวันงานก็มาถึงเขาแบกร่างที่ไร้วิญญาณของตัวเองออกมาจากห้องแต่งตัวราวกับว่าโลกใบนี้ของเขาได้พังทลายลงไป...ตลอดกาล 

    "เจียงเฉิง"

    เว่ยอู๋เซียนและศิษย์พี่เดินมายังห้องที่เขาอยู่ก่อนจะจับมือและกอดเขาเอาไว้ มีเพียงแค่ศิษย์พี่และเว่ยอู๋เซียนเท่านั้นที่เข้าใจเขามากที่สุดในเวลานี้

    หมับ

    "ท่านน้าของข้าท่านดูดีที่สุดเลยขอรับ!"

    "...งั้นรึ"

    เจียงเฉิงส่งรอยยิ้มบางเบาราวขนนกให้หลานชายเพียงคนเดียวของเขาที่ยิ้มส่งมาให้เขาอย่างมีความสุข

    "เจียงเฉิงมีคนผู้หนึ่งอยากพบกับเจ้า"

    "พบข้า ใครกันเว่ยอู๋เซียน"

    "ประมุขหลานแห่งกูซู"

    เจียงเฉิงได้ยินชื่อที่คุ้นเลยก็เกิดอาการพูดไม่ออกพักหนึ่งก่อนจะบอกเว่ยอู๋เซียนที่ทำหน้าลำบากใจอยู่ข้าง ๆ

    "...ให้เขาเข้ามาเถอะ"

    เจียงเฉิงพูดจบทั้งสามที่อยู่ในห้องก็ออกไปก่อนจะถูกแทนที่โดยหลานซีเฉินประมุขหลานแห่งกูซู

    "คารวะประมุขหลาน ท่านอยากพบข้างั้นรึ"

    "ใช่ ข้ามีเรื่องอยากจะบอกเจ้าเสียหน่อย มันไม่สำคัญสำหรับเจ้าในตอนนี้นัก แต่ข้าก็อยากจะบอกเจ้าไว้"

    "เรื่องไม่สำคัญ แต่ท่านก็ยังอยากจะบอกกับข้า? เรื่องใดกัน"

    "ข้ารู้ว่าเวลานี้คงไม่เหมาะสมนัก แต่ถ้าข้าไม่ได้บอกออกไป ข้าก็คงไม่มีทางได้บอกเจ้าอีกต่อไปแน่ 'ข้ารักเจ้านะหวั่นอิ๋น' นี่คือสิ่งเดียวที่ข้าอยากบอกให้เจ้าได้รับรู้ไว้ และหวังใจว่าเจ้าจะไม่โกรธหรือเกลียดข้ามากไปกว่าที่เป็นอยู่นัก"

    พรึบ

    เจียงเฉิงที่ได้ฟังประโยคนั้นจบก็ทรุดลงไปนั่งอยู่กับพื้นทันที ก่อนจะถูกคนตรงหน้าพยุงให้ขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ใกล้ ๆ 

    "ท่าน...ทำไมท่านไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้ บอกข้าก่อนที่ข้าจะแต่งแม่นางเหม่ยหลี่เป็นฟูเหรินหนึ่งหรือสองวันก็ได้ ทำไม...ทำไมท่านถึงเพิ่งมาบอกข้าเอาป่านนี้กันเล่า! หลานซีเฉิน ไม่สิ หลานฮวั่น! ทำไมท่านไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้! ฮึก ฮือ...ทำไมท่านถึงใจร้ายกับข้าได้ถึงเพียงนี้ ทำไม ทำไมกัน"

    เจียงเฉิงปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาอย่างไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าใครจะเข้ามาเห็นเขาในสภาพแบบนี้ เขาก็ไม่สนใจมันอีกแล้ว! แต่ตลอดเวลาที่น้ำตาเขาได้ไหลออกมาคนตรงหน้าก็เอาแต่เช็ดน้ำตาของเขาออกจากใบหน้าอยู่ตลอดอย่างไม่หยุดมือ อยากจะผลักไสให้ออกไปห่าง ๆ แต่เขาในตอนนี้ไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรทั้งนั้น ขอแค่ได้ร้องไห้ออกมาก็พอแล้ว

    "...ข้าขอโทษ"

    “ขอโทษงั้นรึ ถ้าท่านบอกข้าเร็วกว่านี้ข้าอาจจะไม่ลังเลและไม่ต้องแต่งกับแม่นางเหม่ยหลี่ก็เป็นได้ ฮึก ท่านช่างใจร้ายยิ่งนักหลานฮวั่น! ทำไมพวกเราไม่สู้ไปด้วยกันเล่า!”

    "ข้ารู้..."

    "ท่านรู้!"

    เจียงเฉิงปัดมือคนตรงหน้าทิ้งทันทีก่อนจะเช็ดน้ำตาของตนเองอย่างลวก ๆ แล้วจ้องมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ไม่พอใจในคำตอบอย่างถึงที่สุด

    "ข้ารู้ แต่เจ้าก็อย่าลืมว่าเจ้ายังต้องขึ้นเป็นประมุขตระกูลเจียงเพราะงั้น...ข้างกายของเจ้าจึงไม่ใช่ที่ของข้าและที่เจ้าเลือกที่จะแต่งกับแม่นางเหม่ยหลี่เพราะเจ้าเองก็รู้ใช่หรือไม่ ว่าข้างกายของข้าก็ไม่ใช่ที่ของเจ้าเช่นกัน"

    "..."

    ราวกับถูกล่วงรู้ความคิดของตนเอง เจียงเฉิงร้องไห้อีกครั้งเมื่อรู้ถึงความคิดของคนตรงหน้าที่ตรงกับที่ตัวของเขาเองแทบจะทุกอย่าง แต่การที่เจียงเฉิงต้องมาได้ยินมันจากปากคนตรงหน้าก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไว้เลยสักนิด มันเจ็บปวดนะที่ข้าต้องมาได้ยินคำเหล่านั้นออกมาจากปากของท่าน

    "และเพื่อไม่ให้ในใจของข้ามีอะไรติดค้างอีกต่อไป ข้าจึงมาบอกความรู้สึกของข้าให้เจ้ารู้อย่างไรเล่า"

    "ท่าน...ช่างเห็นแก่ตัวอะไรเช่นนี้"

    "ใช่แล้ว ข้าเห็นแก่ตัวเองอย่างที่เจ้าว่าไม่มีผิด เรื่องนั้นข้ารู้ดียิ่งกว่าใครเลยล่ะ โดยเฉพาะถ้ามันเกี่ยวกับเจ้า แล้วเจ้าเล่ามีอะไรอยากบอกกับข้าหรือไม่"

    "..."

    เจียงเฉิงไม่พูดอะไรสักคำ ทำเพียงแค่ก้มหน้าก้มตามองพื้นเท่านั้น หลานซีเฉินที่นึกได้ว่าตัวเองเข้ามานานเกินไปแล้วก็กำลังจะออกไปแต่ยังก้าวไม่ถึงครึ่งก้าวก็ต้องหยุดฝีเท้าลง แล้วหันหลังมาหาเจียงเฉิงเพื่อฟังสิ่งที่เขากำลังพูดมันออกมา

    "ข้า...ฮึก ข้าก็รักท่านหลานฮวั่น รักท่านมาตลอด ถึงข้าจะไม่สามารถไปยืนข้างท่านได้ แต่ข้าก็จะยังคงไม่อาจลืมท่าน ท่านจะยังคงอยู่ในใจของข้าเสมอ จากนี้และตลอดไป"

    หลานซีเฉินเดินมาเช็ดน้ำตาให้เจียงเฉิงอีกครั้งก่อนจะกอดปลอบคนตรงหน้า ยิ่งเห็นคนตรงหน้าร้องไห้หนักมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดด้วยมากขึ้นเท่านั้น การที่คนสองคนรักกันแต่ไม่อาจครอบครองกันและกันได้นั้น มันช่าง...เจ็บปวดใจได้มากถึงเพียงนี้เชียวหรือ

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×